แนวทางอ่านหนังสือ 100 เล่มต่อปี
รายการรอคอยอ่านของคุณเติบโตขึ้นเรื่อยไหม? คุณซื้อหนังสือที่คุณไม่เคยอ่านไหม? บางทีอาจถึงเวลาที่จำเป็นต้องผ่านหนังสือจากรายการของคุณในปีนี้มากยิ่งกว่าที่เคย
ถ้าคุณอ่านน้อยกว่าที่คุณอยากคุณไม่ใช่ผู้เดียว หนึ่งปีให้หลังฉันมองหน้า Goodreads ของฉันแล้วก็มองเห็นว่าฉันอ่านหนังสือเพียงแต่ห้าเล่มในปี 2014 การตระหนักทราบนั้นทำให้ฉันผิดหวัง
ฉันรักหนังสือแต่ว่าตั้งแต่ฉันจบการศึกษาวิทยาลัยในปี 2011 ฉันอ่านหนังสือลดน้อยลงทุกๆปี งานและก็ชีวิตของฉันไปในทางของการอ่านมากมายเท่าที่ฉันปรารถนา
เพราะเหตุไรจำต้องอ่านหนังสือ 100 เล่มใน 1 ปี? คุณอ่านเนื่องจากว่าคุณอยากได้ทำความเข้าใจจากประสบการณ์ของคนอื่นๆ Otto von Bismarck ให้เยี่ยมที่สุด:
“ คนเขลาศึกษาจากประสบการณ์ ฉันถูกใจทำความเข้าใจจากประสบการณ์ของคนอื่นๆ”
ถ้าหากคุณปรารถนาไปที่แห่งไหนก็ได้ในโลกนี้คุณจำต้องให้ความรู้ความเข้าใจด้วยตัวเองรวมทั้งเพื่อวิชาความรู้กับตนเองคุณจะต้องอ่านให้มากมาย นี่เป็นกระบวนการทำ
1. ซื้อเป็นกรุ๊ป
จำเป็นต้องเสียเงินเสียทองซื้อหนังสือแล้วก็เสียเวล่ำเวลาสำหรับในการอ่าน - ฉันสมมุติว่าคุณมีทั้งคู่อย่างถ้าเกิดคุณกำลังอ่านสิ่งนี้ ทุกคนสามารถทำเวลาได้ แล้วก็ถ้าเกิดคุณขาดเงินให้หาวิธีหารายได้หรือประหยัดเงิน
มั่นอกมั่นใจได้ว่าเงินรวมทั้งในช่วงเวลาที่คุณใช้ไปกับหนังสือนั้นคุ้ม ฉันไม่อาจจะนึกถึงการลงทุนที่ดีมากยิ่งกว่านี้ได้ หนังสือเป็นเพียงแค่การเสียตังค์แม้คุณไม่อ่าน
ถ้าหากปรารถนาอ่านเสริมเติมคุณจะต้องซื้อหนังสือเพิ่มเติมอีก บางบุคคลมิได้รับมัน พวกเขาใช้เงิน 200 เหรียญสำหรับรองเท้าใหม่ แต่ว่าพวกเขาพบว่ามันไม่มีสาระที่จะซื้อหนังสือ 20 เล่มจาก Amazon
แนวความคิดกล้วยๆ: แม้คุณมีหนังสือเพิ่มมากขึ้นในบ้านคุณจะมีแนวทางที่จะเลือกมากขึ้นเรื่อยๆรวมทั้งสิ่งนี้จะช่วยทำให้คุณอ่านมากเพิ่มขึ้น
นี่เป็นเหตุผล: หนังสือโดยมากที่คุณอ่านมิได้มีการคิดแผนล่วงหน้า คุณอย่านั่งในมกราคมรวมทั้งบอกว่า:“ อาทิตย์แรกของมิ.ย.ฉันจะอ่านหนังสือเล่มนี้”
คุณอ่านหนังสือเสร็จมองคลังเก็บของของคุณแล้วตกลงใจว่าจะอ่านอะไรต่อ อย่าคิดมากว่าควรจะอ่านเล่มไหนถัดไปเพราะเหตุว่าคุณจึงควรอ่านคำวิพากษ์วิจารณ์ตรงเวลาหลายชั่วโมงซึ่งเป็นการเสียเวล่ำเวลา ขอขอบคุณบทความคุณภาพจาก
แทงบอลเช่นคนโดยมากที่อยากเริ่มด้วยลัทธิสโตอิเรื่องมฉันว่า“ ฉันควรจะอ่านเรื่องไหนก่อน - เซเนกามาร์คัสออเรลิอุสหรือเอพิกเตตัส”
ซื้อทั้งหมดทั้งปวง อ่านทั้งสิ้น
การมีหนังสือคงคลังช่วยเพิ่มแรงกระตุ้น คุณไม่เคยมีคำกล่าวอ้างที่ จะไม่อ่าน
2. A (เสมอ) B (e) R (eading)
คุณอาจเคยรับรู้คำว่า 'ABC' จากละคร / ภาพยนตร์เรื่อง Glengarry Glen Ross: Always Be Closing พนักงานที่มีหน้าที่สำหรับขายรวมทั้งผู้ประกอบกิจการคนจำนวนไม่น้อยดำรงชีวิตตามคตินั้น
ฉันดำรงชีวิตตามคติที่ผิดแผกแตกต่าง: อ่านเสมอ
ฉันอ่านหนังสือขั้นต่ำ 1 ชั่วโมงต่อวันในวันปกติและก็มากยิ่งกว่านั้นในตอนสุดสัปดาห์รวมทั้งวันหยุด
หาวิธีอ่านตารางเวลารวมทั้งเหตุการณ์ชีวิตของคุณ อย่าแก้ตัวว่าคุณอิดโรยหรือยุ่งเกินความจำเป็น
Always Be Reading แปลว่าคุณ:
• อ่านบนรถไฟ
• อ่านในระหว่างที่คุณให้นมลูก
• อ่านขณะที่คุณกำลังกินของกิน
• อ่านที่ที่ทำการหมอ
• อ่านสถานที่ทำงาน
• รวมทั้งที่สำคัญที่สุด - อ่านตอนที่ผู้อื่นเสียเวล่ำเวลาไปกับการดูข่าวสารหรือตรวจตรา Facebook เป็นครั้งที่ 113 ในวันนั้น
แม้คุณทำแบบนั้นคุณจะอ่านหนังสือมากยิ่งกว่า 100 เล่มในหนึ่งปี นี่เป็นกระบวนการ คนจำนวนมากอ่าน 50 หน้าหนึ่งชั่วโมง ถ้าคุณอ่าน 10 ชั่วโมงต่ออาทิตย์คุณจะอ่าน 26,000 หน้าต่อปี สมมุติว่าหนังสือเฉลี่ยที่คุณอ่านเป็น 250 หน้า: ในเหตุการณ์นี้คุณจะอ่านหนังสือ 104 เล่มในหนึ่งปี
ด้วยความก้าวนั้นแม้คุณจะพักผ่อน 2 อาทิตย์คุณจะอ่านหนังสืออย่างต่ำ 100 เล่มในหนึ่งปี
โน่นเป็นผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนเวลาของคุณ ROI ของการอ่านข่าวสารเป็นยังไง? ไม่รู้เรื่องชัดเจน แม้กระนั้นจะต้องเป็นลบ
3. อ่านหนังสือที่เกี่ยวโยงเพียงแค่นั้น
คุณเคยอ่านหนังสือที่น่าทึ่งและก็คุณไม่รู้เรื่องหรือเปล่า? ฉันจะไม่ไปไกลถึงการบอกว่าหนังสือเล่มไหนแย่เพราะว่าผู้คนใช้เวลาเขียนแล้วก็ปรับปรุงหนังสือจำนวนมาก
แต่ว่าไม่ใช่ทุกเล่มสำหรับทุกคน หนังสือเล่มหนึ่งบางทีอาจเป็นหนังสือขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า บางทีคุณอาจไม่สามารถที่จะเขียนได้ หรือบางครั้งอาจจะไม่ใช่ขณะที่สมควรสำหรับเพื่อการอ่านหนังสือ
ไม่ว่าในกรณีอะไรก็แล้วแต่: ถ้าคุณไม่อาจจะกลับหน้าต่างๆได้ให้วางหนังสือไว้แล้วก็จับสิ่งที่คุณตื่นเต้นมากมายกระทั่งฉีกหน้าออก
อ่านหนังสือที่ใกล้เคียงกับปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตของคุณ มีหนังสือสำหรับทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่คุณคิดได้ ผู้คนกำลังแต่งหนังสือมาตรงเวลา 2,000 ปีและก็มีผู้คนเยอะมากที่อยู่ในรองเท้าของคุณไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นที่กำลังดิ้นรนนักแสดงที่ใฝ่ฝันผู้ประกอบกิจการที่อดอยากบิดามารดาใหม่
อย่าเสียเวล่ำเวลาอ่านเรื่องที่คุณไม่ให้ความสนใจ
ให้เลือกหนังสือที่เกี่ยวกับอาชีพหรืองานที่ชอบทำในเวลาว่างของคุณแทน อ่านหนังสือเกี่ยวกับผู้ที่คุณยกย่อง อย่าอ่านหนังสือเพียงแต่เนื่องจากว่าเป็นหนังสือขายดิบขายดีหรือหนังสือคลาสสิกถ้าหากหนังสือเล่มนั้นปราศจากความหมายสำหรับคุณ
4. อ่านหนังสือหลายเล่มพร้อม
ไม่มีกฎสำหรับในการอ่านเพราะฉะนั้นคุณสามารถทำอะไรก็ได้ที่คุณปรารถนา บางครั้งบางคราวฉันอ่านหนังสือ 5 เล่มพร้อม ฉันบางทีอาจอ่านหนังสือ 50 หน้าในเวลาเช้าแล้วอ่านอีกเล่มในช่วงบ่าย
โน่นเป็นแนวทางที่ฉันถูกใจมากยิ่งกว่า บุคคลอื่นถูกใจอ่านปกหนังสือแล้วอ่านเฉพาะของใหม่ๆ
ถ้าคุณกำลังอ่านสิ่งที่สลับซับซ้อนคุณอาจปรารถนาอ่านสิ่งที่ง่ายดายยิ่งกว่าสำหรับช่วงเย็น ฉันถูกใจอ่านประวัติบุคคลก่อนนอนเพราะว่าเป็นเสมือนนิทาน นิยายยังคงใช้ได้ดิบได้ดีในตอนเวลาเย็น
ฉันไม่ต้องการอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนบนเตียงด้วยปากกาย้ำใจความแล้วก็ปากกา ถ้าเกิดฉันทำแบบนั้นฉันจะตื่นจนกระทั่งตี 3 เพราะเหตุว่าจิตใจของฉันกำลังหมกมุ่นอยู่กับของใหม่ๆที่ฉันกำลังศึกษา
5. รักษาวิชาความรู้
วิชาความรู้จะดีก็เมื่อคุณใช้มัน สำหรับการรักษาความรู้คุณควรจะมีระบบที่ช่วยทำให้คุณทำแบบนั้นได้ นี่เป็นแนวทางที่ฉันทำ:
• เมื่อคุณอ่านหนังสือให้ใช้ปากกาเพื่อเขียนบันทึกในระยะขอบรวมทั้งย้ำข้อความสำคัญ ถ้าคุณกำลังอ่านแบบดิจิทัลโปรดระวังการไฮไลต์เยอะเกินไป เพียงแค่เนื่องจากมันง่ายสุดๆคุณก็เลยไม่สมควรย้ำทุกอย่างที่คุณมีความรู้สึกว่าน่าดึงดูดน้อย ย้ำเฉพาะสิ่ง "aha" แค่นั้น
• ถ้าหากคุณอ่านสิ่งที่คุณปรารถนาจำให้พับมุมบนหรือด้านล่างของหน้า สำหรับนักอ่านดิจิทัล: ถ่ายรูปและก็จัดเก็บเอาไว้ภายในแอปการเขียนบันทึกที่คุณอยาก
• เมื่อคุณอ่านหนังสือกระทั่งจบให้กลับไปที่หน้าที่มีการพับและก็อ่านโน้ตของคุณ
• เขียน (ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เขียนบันทึกหรือสมุดบันทึกประจำวัน) ด้วยคำกล่าวของคุณเองว่าหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับอะไรรวมทั้งข้อเสนอแนะที่คนเขียนกำลังให้คำปรึกษา
• ก๊อปปี้คำกล่าวที่เด่นที่สุดสำหรับคุณ
หลักสำคัญมิได้อยู่ที่การก๊อปปี้หนังสือ แม้กระนั้นเพื่อช่วยคุณประมวลผลข้อมูลเพื่อคุณสามารถใช้งานได้ในคราวหลัง
อ่านให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำเป็น แต่ว่าอย่าลืมนำสิ่งที่ได้ศึกษาไปใช้เนื่องจากโน่นเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด คุณใช้เวลาหลายชั่วโมงสำหรับในการอ่านหนังสือให้มั่นใจว่าคุณได้รับบางอย่างออกไป